โบรกชี้หุ้นไทย เดือนมิ.ย. ไซด์เวย์ดาวน์ มองแนวรับ1,580 จุด-แนวต้าน1,660จุด

ดัชนีหุ้นไทยเดือนพ.ค. ปิดที่ 1,663.41 จุด ลดลง 4.03 จุด โดยนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 20,283.51 ล้านบาท  สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ  4,466.05 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,745.12 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 26,494.68 ล้านบาท 

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยเดือนมิ.ย.2565 ยังเป็นภาวะตลาดหมี  (Bear Market) ประเมินกรอบดัชนีฯ แนวต้านที่ 1,666 จุด และแนวรับ 1,600 จุด เป็นเดือนที่ดัชนีจะไซด์เวย์ดาวน์ลงมา  หลังจากประเทศในยุโรป 27 ประเทศ มีมติคว่ำบาตรรัสเซียต่อเนื่องจนถึงปลายปีนี้

โบรกชี้หุ้นไทย เดือนมิ.ย. ไซด์เวย์ดาวน์ มองแนวรับ1,580 จุด-แนวต้าน1,660จุด

ทั้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกดดันทำให้เงินเฟ้อ แม้จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว  แต่ก็ยังไม่ได้ปรับลดลงมาทันที  และต้นทุนราคาสินค้าอาจปรับขึ้นอีกได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจส่งผล กระทบต่อคาดการณ์กำไร ของตลาดหุ้นทั่วโลก

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนนี้ เน้นลงทุนกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ  เช่น กลุ่มโรงกลั่น (TOP,GPSC) และได้ประโยชน์จาก บอนด์ยิลด์ยังอยู่ในระดับสูง เช่น ประกัน  (BLA) 

ส่วนตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังอยู่ในช่วง Bear Market Rally หรือ รีบาวด์แค่ชั่วคราวหลังตลาดปรับลงมาค่อนข้างมากแล้วเป็น มองกรอบดัชนีปีนี้ที่ แนวรับ 1,585 จุด แนวต้าน 1,650 จุด ซึ่งถือเป็นภาวะที่ลงทุนค่อนข้างยาก โดยยังต้องติดตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ในเดือน ก.ย.  ตลาดคาดว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% หรือ  0.5% เท่ากับในรอบเดือนมิ.ย.และเดือนก.ค. 

 “ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง คือ การเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป มีโอกาสเกิดมากน้อยเพียงใด แต่เศรษฐกิจจีนมีโอกาสได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังคลายล็อกดาวน์ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคเอกชนและประชาชน ขณะเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัว หลังเปิดประเทศฟื้นการท่องเที่ยวดีต่อเนื่อง 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลัง ยังเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว เช่น ซัพพายเชนดิสรัปชั่น (COM7 ,SYNEX) ได้ประโยชน์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Gobal,Dohome) เดินเรือ(PSL,CBG)

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนมิ.ย. ยังผันผวนและอาจมีแรงขายทำกำไรกดดัชนี ปรับตัวลงได้ แต่ไม่ลึกมาก เป็นจังหวะเข้าลงทุนได้  มองกรอบดัชนีฯ แนวรับ1,620-1,630 จุดและแนวต้าน 1,665-1,680 จุด

“ในเดือนนี้มี 3 ปัจจัยที่ตลาดต้องเผชิญและต้องระวังมากขึ้น เช่น  เงินเฟ้อไทยเดือนมิ.ย.น่าจะยังสูงระดับ 6-7% การประชุม กนง. และการลดงบดุลอย่างจริงจังมากขึ้นในระยะนี้ กดดันดัชนีฯ ได้ ซึ่งในอดีตปี 2561 มีช่วงเวลาที่เฟดลดงบดุล กดดันดัชนีฯปรับตัวลงราว 10% “

สำหรับกลยุทธ์ลงทุนเดือนนี้ แนะถือเงินสดเหลือ 10-20% จากเดิม 30-40% รอจังหวะเข้าลงทุนหุ้นธีมเปิดเมือง (BEM,BH ,MAJOR) และหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยและเศรษฐกิจฟื้น (BBL,BLA) และเลือกหุ้นรายตัวรับเหมา ส่งออก (STEC ,TFG ,SMT) 

“ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง หากตลาดผ่านจุดทดสอบเดือนมิ.ย.ไปได้ด้วยดี น่าเบาใจมากขึ้นได้ จากปัจจัยหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยหลังเปิดเมืองเต็มขั้นในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ ส่งผลให้กำไรบจ.ฟื้นกลับขึ้นมากได้เช่นกัน  ส่วนเงินเฟ้อเชิงเปรียบเทีียบจะเริ่มลดระดับได้ในช่วงปลายปีนี้  ยังต้องติดตามนโยบายดอกเบี้ยของกนง. ขึ้นดอกเบี้ยได้จริงหรือไม่ หลังจากเฟดใช้นโยบายการเงิินตึงตัวมากขึ้นและหากไทยยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยฟันด์โฟลว์อาจยังไม่ไหลเข้ามากนัก” 

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเดือนมิ.ย.นี้ ยังไซด์เวย์มีโอกาสพักตัวได้บ้างในช่วงปลายเดือน จากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจทั่วโลก และต้นทุนยังทรงตัวในระดับสูง เป็นความเสี่ยงกดดันผลประกอบการบจ.ไตรมาส 2 ปีนี้มีโอกาสปรับลดลง  แม้ว่าปัจจัยกดดันต่างๆ อาจคลายตัวลงไปบ้าง โดยเฉพาะหลังเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ตามคาด 0.5% มองกรอบการเคลื่อนไหวที่แนวรับ 1,580 -1,600 จุด แนวต้าน 1,670-1,680 จุด  

ทางด้านทิศทางตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง แรงกดดันต่างๆ น่าจะเบาลง จากเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้ชัดเจนในไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าช่วงก่อนหน้านั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) น่าจะเริ่มส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ชัดเจนแล้ว  ยังต้องติดตาม

ประกอบหากจีนกลับมาเปิดประเทศ จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของไทยปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวระดับสูงในปีนี้ที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลและสงครามยังยื้ดเยื้อเช่นนี้ทั้งปีหากไม่มีประเด็นใหม่เพิ่มเติม มองกรอบดัชนี ครึ่งปีหลังปีนี้แนวรับ 1,590 จุด และแนวต้าน 1,650 จุด