รายละเอียดของการปลดล็อกต่างๆ ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ที่เผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน เพื่อให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 1 พฤษภาคม เป็นต้นไปนั้น ค่อนข้างยาวพอสมควร ท่านที่สนใจสามารถคลิกเข้าไปใน www.ratchakitcha.soc.go.th ได้ตั้งแต่บัดนี้
ในส่วนที่ผมชอบใจและขออนุญาตคัดลอกมาสู่กันอ่านในวันนี้ก็คือ ในหน้าแรกที่เป็นอารัมภบทให้เหตุให้ผล ว่าทำไมถึงจะต้องเปิดประเทศตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ครับ
“โดยที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่คลี่คลายลง จากการตรวจพบผู้ติดเชื้อและจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในจำนวนลดลง อีกทั้งประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริมาณยาและเวชภัณฑ์บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยหนัก และผู้ป่วยในระดับวิกฤติอยู่ในระดับพอเพียง
อันเป็นผลจากการบริหารจัดการและควบคุมการระบาดของฝ่ายสาธารณสุข และพนักงานเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งประชาชนทุกภาคส่วนที่ร่วมมือร่วมใจ ร่วมไปปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบที่มีการบริหารจัดการ และรับมือกับการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประกอบกับข้อมูลที่ฝ่ายสาธารณสุขได้รายงานว่า ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจหรือเดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว แม้จะตรวจพบผู้ติดเชื้ออยู่บ้างแต่ก็มีจำนวนน้อย สามารถควบคุมได้ จึงมิได้เป็นปัจจัยที่มีผลให้การติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลกที่หลายประเทศได้เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการป้องกัน และควบคุมโรคและเปิดประเทศคู่ไปกับการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น เพื่อฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนให้ใกล้เคียงกับภาวะปกติ และเพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อเสนอของฝ่ายสาธารณสุข จึงได้พิจารณาผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันโรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์…จึงอาศัยอำนาจ…ดำเนินการดังต่อไปนี้…”
ผมคัดลอกมาลงให้เต็มๆโดยไม่ตัดทอน และหวังว่าท่านที่ยังเคลือบแคลงใจหรือยังกังวลใจ (รวมทั้งผมด้วยในบางอารมณ์) จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้น และเห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้
แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน ที่ท่านบอกว่ามีแนวโน้มลดลง จะยังสูงถึง 10,000 กว่าๆต่อวัน…อย่างเช่นวันเสาร์ที่ผมเขียนต้นฉบับก็ยังอยู่ที่ 12,888 ราย และเสียชีวิตถึง 126 ราย
ถือว่าสูงสุดในอาเซียน ณ นาทีนี้ เพราะ เวียดนาม ที่เคยติดเชื้อใหม่วันละเกินแสนอยู่หลายวัน เขาก็ลดมาเหลือแค่ 6,000 กว่าๆเท่านั้น
มาเลเซียที่เคยวันละ 2-3 หมื่นราย มากกว่าเราเยอะ ก็ลดลงมาเหลือแตะ 2,579 รายวันนี้ และลงมาอยู่ในหลักพันติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แทบไม่ต้องพูดถึงเลย เหลือหลักร้อยเท่านั้น
ก็แล้วไปเถอะ ถึงเราจะติดรายวันสูงสุดในอาเซียนขณะนี้ และยังเกินวันละหมื่นอยู่…แต่เมื่อกระทรวงสาธารณสุขท่านบอกว่าไม่เป็นไร ท่านเอาอยู่ เราก็คงต้องเชื่อท่าน
ในส่วนของภาคประชาชนอย่างเราๆ ที่จะต้องเร่งปฏิบัติ ณ บัดนี้ก็คือ การไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามที่ “หมอพร้อม” ได้ส่งสัญญาณมาเชิญชวนตามขั้นตอน และสถานที่ต่างๆที่มีการนัดหมายไว้
ผมเองก็เพิ่งไปปัก “เข็ม 4” ที่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์รังสิต มาเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เม.ย. วันเดียวกับการประกาศข้อความข้างต้น ลงราชกิจจานุเบกษานั่นเอง
ประเทศจะต้องเดินหน้าต่อไป การพัฒนาเศรษฐกิจของชาติจะต้องดำเนินต่อไป…การฟื้นฟูรายได้ของประชาชน และของประเทศ ที่สูญหายไปกับโควิด-19 ระบาดกว่า 2 ปี จะต้องรีบเร่งรัดให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อความอยู่ดีกินดีอีกครั้ง สู้สู้ครับ ประเทศไทย.